ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) คือ ภาษีที่ผู้จ่ายเงิน ในที่นี้คือ ผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคล ต้องหักไว้ส่วนหนึ่งจากยอดที่ต้องจ่ายให้ผู้รับ ซึ่งคือผู้ที่มีเงินได้ แล้วนำส่งกรมสรรพากรแทน เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้า และจะได้รับเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายไว้ เพื่อเป็นหลักฐานไว้ใช้ในการยื่นภาษีแสดงเงินได้บุคคลธรรมดาในการขอคืนภาษีส่วนนี้คืนได้ แต่การหักภาษีจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
ใครทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย?
อย่างที่ได้กล่าวกันไปข้างต้นแล้วว่า ต้องเป็นผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคลเท่านั้น จึงจะสามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ โดยผู้ที่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือ Withholding Tax คือผู้จ่ายเงินตามประเภทดังต่อไปนี้
1. นายจ้าง
เมื่อจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ให้พนักงาน ต้อง หักภาษี ณ ที่จ่าย จากยอดรวมก่อนที่จะจ่ายจริงให้แก่พนักงาน และออกหนังสือรับรองการหักภาษี (50 ทวิ)
2. บริษัทหรือองค์กรธุรกิจ
หากมีการจ่ายเงินสำหรับบริการต่าง ๆ เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าบริการด้านไอที หรือจ้างฟรีแลนซ์ทำงานเฉพาะทาง บริษัทมีหน้าที่หักภาษีจากค่าบริการตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ก่อนจ่ายให้ผู้รับบริการ
3. สถาบันการเงิน
ธนาคารและสถาบันการเงินต้องหักภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝากที่จ่ายให้ลูกค้า เช่น ดอกเบี้ยจากบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีประจำ ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
4. ผู้ให้เช่า
กรณีที่ผู้เช่าเป็นนิติบุคคล เมื่อได้รับค่าเช่าต้องหักภาษีจากเงินค่าเช่าแล้วนำส่งกรมสรรพากร
5. บริษัทที่จ่ายเงินปันผล
เมื่อมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น บริษัทต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนจ่ายเงินปันผล
แล้วใครต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายบ้าง?
กรมสรรพากรแบ่งประเภทผู้รับเงินออกเป็น 2 กลุ่มหลักด้วยกัน โดยแต่ละกลุ่มจะมีประเภทเงินได้ที่ต้องถูกหักภาษีต่างกัน ดังนี้
1. ผู้รับเป็นบุคคลธรรมดา นำส่งตามแบบ ผ.ง.ด.3
- เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
- เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น กฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี และประณีตศิลปกรรม
- เงินได้จากการรับเหมา ที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนจัดหาสัมภาระ
- เงินได้จากธุรกิจการพาณิชย์ เช่น การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง (เฉพาะประเภทที่กำหนด)
2. ผู้รับเป็นนิติบุคคล นำส่งตามแบบ ผ.ง.ด.53
- เงินได้จากการขายสินค้าเกษตร (บางประเภท) ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า วิชาชีพอิสระ และค่าจ้างทำของ
- เงินได้จากการให้บริการต่าง ๆ ตามมาตรา 40 (8)
- เงินได้จากค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
- เงินได้จากค่าขนส่ง (ยกเว้นค่าโดยสารสาธารณะ)
ซึ่งจำนวนเงินได้ที่ต้องหักภาษีไว้เมื่อมีการจ่ายเงินครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ต้องมียอดชำระขั้นต่ำอยู่ที่ 1,000 บาทขึ้นไป นั่นหมายความว่า หากยอดเงินรวมไม่ถึง 1,000 บาท จะไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และในกรณีที่มียอดรวมเกิน 1,000 บาท แต่แบ่งจ่าย 2 ครั้ง บริษัทก็จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้ง 2 ครั้ง ส่วนค่าบริการอื่น ๆ ที่จ่ายสัญญาต่อเนื่อง ก็ยังต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแม้ยอดจะไม่ถึง 1,000 บาทก็ตาม เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต หรือค่าโทรศัพท์ ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีประเภทใดบ้าง?
การหัก Withholding Tax หรือภาษีหัก ณ ที่จ่ายในค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทที่เข้าข่ายตามที่ภาครัฐกำหนดไว้นั้น มีอัตราที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ค่าจ้างและเงินเดือน
ผู้ว่าจ้างจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน ค่าจ้าง รายได้ประจำ โบนัส หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่จ่ายให้พนักงานตามอัตราก้าวหน้า 0-35% ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของแต่ละบุคคล โดยจะคำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่ถ้าผู้ว่าจ้างหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ก็สามารถขอคืนภาษีได้ตอนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. จ้างทำงานหรือบริการ
การจ้างบุคคลธรรมดามาทำงานเฉพาะกิจ ทั้งการทำสิ่งของและให้บริการ รวมไปถึงการจ้างงานฟรีแลนซ์ เช่น เขียนบทความ ตัดต่อวิดีโอ หรือสอนพิเศษ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราการก้าวหน้าเช่นเดียวกับการคิดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อยู่ที่ 0-35% ก่อนจ่ายเงินให้ผู้รับจ้าง แต่หากผู้จ่ายมีการหัก ณ ที่จ่าย ก็สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอเงินภาษีคืนได้เช่นกัน
3. จ้างบริการวิชาชีพอิสระ
อาชีพอิสระ คือ อาชีพที่อยู่ใน 6 กลุ่มวิชาชีพเฉพาะทาง เช่น ทนายความ วิศวกร สถาปนิก ผู้สอบบัญชี หรือแพทย์ หากมีการจ้างงานจากบุคคลเหล่านี้ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
4. จ้างรับเหมาหรือบริการ
การว่าจ้างให้บุคคลทำสิ่งของหรือให้บริการที่ต้องใช้อุปกรณ์ของผู้รับจ้าง ถือเป็นการจ้างรับเหมาหรือบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หากผู้ว่าจ้างมีอุปกรณ์ให้ จะถือว่าเป็นการจ้างทำงานตามข้อ 2
ซึ่งค่าอินเทอร์เน็ตและค่าโทรศัพท์เองก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้เช่นกัน เพราะเป็นการจ่ายต่อเนื่องทุกเดือน ทำให้ยอดรวมทั้งปีเกิน 1,000 บาท จึงจำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายนั่นเอง
5. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
หากบริษัทหรือนิติบุคคลจ่ายค่าเช่าออฟฟิศ คลังสินค้า หรือพื้นที่อื่น ๆ ให้บุคคลธรรมดา โดยที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ถือกุญแจ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าเช่า ในอัตรา 5% นอกจากนี้การจ้างเพื่อการบันเทิง และค่าเช่ารถยนต์ก็จัดอยู่ในประเภทนี้เช่นกัน
แต่ถ้าเป็นการยืมสถานที่ชั่วคราวที่ไม่มีสิทธิ์ถือกุญแจ รวมถึงการเช่ารถยนต์พร้อมคนขับ แม้จะได้ถือกุญแจรถ ก็นับว่าเป็นการบริการ ซึ่งจะจัดอยู่ในประเภทจ้างรับเหมาหรือบริการ ตามข้อ 4 คือ หักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
6. ค่าโฆษณา
การว่าจ้างผ่านเอเจนซีโฆษณา เพื่อโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักบนสื่อต่าง ๆ ที่ไม่ใช่บริการด้านการตลาด ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 2%
ส่วนบริการด้านการตลาด เช่น รีวิวโฆษณาสินค้า จ้างบริษัททำการตลาด จะจัดอยู่ในประเภทจ้างรับเหมาหรือบริการ ตามข้อ 4 คือ หักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
7. ค่าขนส่ง
ในกรณีที่จ่ายค่าขนส่งให้กับนิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการรูปแบบการขนส่ง เช่น บริษัทขนส่งสินค้า โลจิสติกส์ จะต้องหัก ณ ที่จ่าย 1% ก่อนชำระเงิน
หากผู้ให้บริการขนส่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย รวมถึงกรณีที่ใช้บริการจากไปรษณีย์เองก็ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่าย เพราะเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้น

คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายอย่างไร?
เราสามารถคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ แบบออกให้ตลอดไป และแบบออกให้ครั้งเดียว
1. ออกให้ตลอดไป
การหักภาษีในรูปแบบนี้ คือการที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนผู้รับตลอดทุกครั้ง โดยมีสูตรคำนวณ ดังนี้
จำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่าย = จำนวนเงินได้ที่จ่าย × อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย / (100 – อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
ยกตัวอย่างเช่น
- ค่าบริการ 10,000 บาท ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ตลอดไป = 10,000 x 3/(100-3) = 309.28 บาท
- เงินได้รวมที่ใช้เป็นฐานคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 10,000+309.28 = 10,309.28 บาท
- นำไปคูณอัตราภาษี 3% ก็จะได้ภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 10,309.28 x 3% = 309.28 บาท
จากนั้น ในหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะระบุไว้ว่าเงินได้ 10,309.28 บาท โดยจำนวนเงินหักภาษี ณ ที่จ่าย คือ 309.28 บาท และเงินที่ผู้รับได้จริง คือ 10,000 บาท
2. ออกให้ครั้งเดียว
ส่วนการหักภาษีแบบออกให้ครั้งเดียวนี้ ผู้จ่ายเงินจะออกภาษีแทนผู้รับเฉพาะครั้งแรก โดยจะคำนวณภาษีตามปกติ แล้วเพิ่มภาษีที่ออกแทนเข้ามาใหม่อีกครั้ง โดยมีสูตรคำนวณ ดังนี้
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย = (จำนวนเงินที่จ่าย + ภาษีเดิม) × อัตราภาษี
ยกตัวอย่างเช่น
- ค่าบริการ 10,000 บาท ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามอัตราปกติ = 10,000 × 3% = 300 บาท
- ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ครั้งเดียว = (10,000 + 300) × 3% = 309 บาท
- เงินได้รวมที่ใช้เป็นฐานคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 10,000+300 = 10,300 บาท
- นำไปคูณอัตราภาษี 3% ก็จะได้ภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 10,300×3% = 309 บาท
จากนั้น ในหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะระบุไว้ว่าเงินได้ 10,300 บาท โดยจำนวนเงินหักภาษี ณ ที่จ่าย คือ 309 บาท และเงินที่ผู้รับได้จริง คือ 9,991 บาท โดยผู้จ่ายเงินจะออกภาษีให้ครั้งเดียวเป็นจำนวน 300 บาท ส่วนอีก 9 บาท ต้องหักจากผู้ให้บริการ

จัดการภาษีไม่มีพลาดด้วยระบบ CRM & Sales Management จาก SellStory
การจัดการเรื่องภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับหลายธุรกิจ แต่หากมีเครื่องมือที่เหมาะสม จะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาระบบที่จะช่วยจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างครบวงจร ระบบ SellStory CRM & Sales Management มีฟีเจอร์ออกใบเสนอราคา รองรับทุกความต้องการธุรกิจ คุณสามารถระบุภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าขนส่ง และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ ให้การออกเอกสารสำคัญของธุรกิจคุณง่ายและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
สมัครใช้งาน SellStory ฟรี! วันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.095-371-7988 แอดไลน์ @sellstory