Credit Term คืออะไร?
Credit Term (เครดิตเทอม) คือ ระยะเวลาที่ผู้ขายกำหนดให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการได้ในภายหลัง โดยไม่ต้องจ่ายเงินทันทีในวันที่มีการซื้อขาย โดยจะระบุเงื่อนไขการชำระเงิน และวันที่ที่ต้องชำระเงินเอาไว้อย่าง
ชัดเจนในเอกสาร เช่น ใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อระยะสั้นแก่ลูกค้านั่นเอง
เครดิตเทอมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารลูกหนี้การค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินสด (Cash Flow) ยอดขาย (Sales Volume) และกำไรสุทธิ (Net Profit)

ทำไม Credit Term ถึงสำคัญกับธุรกิจ?
Credit Term ไม่ใช่แค่ตัวเลขจำนวนวันบนใบแจ้งหนี้ แต่เป็นกลไกทางการเงินที่กำหนดชะตาของกระแสเงินสด และ ความมั่นคงของธุรกิจไว้ในกำมือโดยตรง เรียกได้ว่า เครดิตเทอมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ ทั้งในด้านการเงินและการสานสัมพันธ์ลูกค้าเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น
- ปั๊มยอดขายให้พุ่ง: การให้เครดิตเทอมดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) ที่อาจต้องการเวลาเอาสินค้าไปขายต่อหรือใช้ในการผลิตก่อนจะชำระเงิน
- สร้างความน่าเชื่อถือและความผูกพัน: การยืดหยุ่นเรื่องการชำระเงินช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้ดี
- จัดการเงินสดได้เป๊ะ: ฝ่ายผู้ขายวางแผนการรับเงินได้ดีขึ้น ส่วนผู้ซื้อก็บริหารเงินทุนหมุนเวียนได้มีประสิทธิภาพ
- แต้มต่อเหนือคู่แข่ง: ธุรกิจที่ให้ Credit Term ที่เหมาะสมได้ มักจะเหนือกว่าคู่แข่งที่เรียกเก็บเงินทันที
Payment Term มีอะไรบ้าง?
Payment Term หรือ เงื่อนไขการชำระเงิน คือ ข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายว่าจะชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการอย่างไรและเมื่อไหร่ ถือเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการซื้อขายทั้งในและนอกองค์กร ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและบริหารจัดการกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Credit Term ในการซื้อขายทางธุรกิจ
โดยทั่วไป Payment Term มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้า ความมั่นคงทางการเงิน และลักษณะการซื้อขาย โดยสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้
1. การชำระเงินล่วงหน้า
ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนที่จะได้รับสินค้าหรือบริการ มักใช้กับลูกค้าใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของผู้ขาย หรือคำสั่งซื้อพิเศษ สำหรับสินค้าสั่งผลิตหรือบริการที่ต้องใช้ต้นทุนสูงล่วงหน้า ไปจนถึงสินค้าหายากหรือมีมูลค่าสูง เช่น อัญมณี หรือเครื่องจักรเฉพาะทาง ซึ่งสามารถกำหนดเงื่อนไขได้หลากหลายรูปแบบ
- ชำระเต็มจำนวนก่อนส่งมอบสินค้า
- ชำระบางส่วนเป็นเงินมัดจำ
- วางเช็คลงวันที่ล่วงหน้า
- ขอหนังสือค้ำประกันธนาคาร
- จ่ายตามงวดงาน
2. ชำระเงินสดทันที
ผู้ซื้อชำระเงินทันทีที่ได้รับสินค้าหรือเมื่อการบริการเสร็จสมบูรณ์ เป็นวิธีที่ง่ายและลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขายได้มาก มักใช้กับการซื้อขายปลีก หรือสินค้าที่จัดส่งตรงถึงมือลูกค้า
3. ชำระตามเครดิตเทอม (Credit Term)
เป็นการให้ระยะเวลาแก่ผู้ซื้อในการชำระเงินหลังจากได้รับสินค้าหรือใบแจ้งหนี้ มักระบุเป็น Net N ซึ่งหมายถึงต้องชำระเต็มจำนวนภายใน N วัน เช่น Net 30 ต้องชำระเงินภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้

4. ชำระเมื่อสิ้นเดือน
ผู้ซื้อจะชำระเงินภายในวันสุดท้ายของเดือนที่ระบุ เช่น Net 30 EOM หมายถึงต้องชำระเงินภายใน 30 วันนับจากวันสิ้นเดือนที่ออกใบแจ้งหนี้ ซึ่งจะไม่ใช่จากวันที่ออกใบแจ้งหนี้โดยตรง
5. ชำระเป็นงวด
เป็นการตกลงชำระเงินเป็นส่วนๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตามความคืบหน้าของโครงการ มักใช้กับโครงการใหญ่ ๆ เช่น งานก่อสร้าง หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มีหลายขั้นตอน และสินค้าราคาสูงที่ผู้ซื้อต้องการผ่อนชำระ
6. ชำระโดยใช้เอกสารผ่านธนาคาร
ธนาคารเข้ามาเป็นตัวกลางในการเรียกเก็บเงิน โดยผู้ขายจะส่งเอกสารทางการค้าผ่านธนาคารของตนไปยังธนาคารของผู้ซื้อ เพื่อให้ผู้ซื้อชำระเงินก่อนที่จะได้รับเอกสารไปรับสินค้า ซึ่งมี 2 แบบหลัก ๆ คือ
- D/P (Document Against Payment): ผู้ซื้อต้องชำระเงินทันทีที่ธนาคารแจ้งให้ทราบ เพื่อรับเอกสารไปรับสินค้า
- D/A (Document Against Acceptance): ผู้ซื้อรับรองตั๋วเงิน ที่เหมือนเป็นการตกลงว่าจะจ่ายในอนาคต เพื่อรับเอกสารไปรับสินค้าได้ก่อน แล้วค่อยชำระเงินตามกำหนด
7. Letter of Credit (L/C)
เป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัยสูง โดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือรับรองว่าจะชำระเงินให้กับผู้ขายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน L/C เมื่อผู้ขายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและส่งมอบเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ธนาคารจะรับผิดชอบการชำระเงินให้ เหมาะกับการค้าระหว่างประเทศที่มูลค่าสูงและต้องการความมั่นใจจากทั้งสองฝ่าย

ประเภทของ Credit Term พร้อมข้อดีของแต่ละประเภท
กลับมาที่เรื่องเครดิตเทอม มาดูกันว่ามีกี่ประเภทกันแน่ และแต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร
1. เครดิตเทอมแบบให้ส่วนลด
เครดิตเทอมแบบนี้คือการที่ผู้ขายให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าที่ชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการก่อนกำหนด ซึ่งเหมาะมากสำหรับการกระตุ้นให้ลูกค้าจ่ายเงินเร็วขึ้น ช่วยให้เงินสดหมุนเวียนในธุรกิจได้ไวขึ้น และลดความเสี่ยงที่ลูกค้าจะค้างชำระได้ดี
เช่น 2/10 net 30 หมายถึง ถ้าลูกค้าชำระเงินภายใน 10 วันนับจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้ จะได้รับส่วนลด 2% จากยอดทั้งหมด แต่ถ้าเลย 10 วันไปแล้ว ก็ต้องจ่ายเต็มจำนวนภายใน 30 วัน
ข้อดี
- เร่งรอบเงินสดเข้า ช่วยให้ธุรกิจได้รับเงินเร็วขึ้น ลดช่วงเวลาที่เงินจม
- ลดความเสี่ยงลูกค้าค้างชำระ เพราะมีแรงจูงใจให้ลูกค้าจ่ายไว
- สร้างแรงจูงใจให้จ่ายเร็ว เช่น การให้ส่วนลด เมื่อลูกค้าได้ประโยชน์จากส่วนลด จะส่งผลให้การชำระเงินตรงเวลามากขึ้น
2. เครดิตเทอมแบบไม่มีส่วนลด
เครดิตเทอมรูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในระบบซื้อขายแบบ B2B เนื่องจากเป็นการกำหนดวันครบกำหนดชำระที่แน่นอน โดยไม่มีส่วนลดพิเศษมาเกี่ยวข้อง ช่วยให้การวางแผนทางการเงินของทั้งสองฝ่ายทำได้ง่ายขึ้น เหมาะกับลูกค้าประจำหรือคู่ค้าที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยจะรบุไว้ เช่น Net 30 ลูกค้าต้องชำระเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วันนับจากวันออกใบแจ้งหนี้
ข้อดี
- ง่ายต่อการควบคุมบัญชี เพราะมีกำหนดชำระที่ชัดเจน
- ช่วยให้ลูกค้าบริหารสภาพคล่องได้ดี ลูกค้ามีเวลาในการหมุนเวียนเงิน
- ลดต้นทุนดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายการเงิน สำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เนื่องจากไม่มีการให้เครดิตที่ยาวนานจนเกินไป
3. เครดิตเทอมแบบแบ่งชำระ
เครดิตเทอมประเภทนี้คือการให้ลูกค้าชำระเงินเป็นงวดตามที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งจะเหมาะกับสถานการณ์ที่สินค้าหรือบริการมีมูลค่าสูงมาก หรืองานที่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ที่มีหลายขั้นตอนการดำเนินงาน เช่น อุปกรณ์อุตสาหกรรม ระบบไอที หรืองานก่อสร้าง
โดยอาจมีเงื่อนไข เช่น ชำระ 30% เมื่อตกลงซื้อเป็นเงินมัดจำเบื้องต้น หรือชำระ 40% เมื่อส่งมอบสินค้า จ่ายในวันที่ลูกค้าได้รับสินค้า เป็นต้น
ข้อดี
- ช่วยลดภาระจ่ายเงินก้อนเดียวของลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
- ลดความเสี่ยงผู้ขาย เพราะได้รับเงินเป็นระยะ ๆ ตามความคืบหน้าของงาน ช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินและกระจายความเสี่ยงได้ดี
เครดิต 30 วัน คืออะไร ทำไมถึงเป็นที่นิยม?
หลายคนที่ทำธุรกิจน่าจะคุ้นหูกับคำว่า เครดิต 30 วัน เพราะถือเป็นรูปแบบเครดิตเทอมที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในโลกการค้าแบบ B2B โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการซื้อขายวัตถุดิบ สินค้า หรือบริการกันเป็นประจำ
เครดิต 30 วัน คือ รูปแบบการให้เครดิตทางการค้าที่ผู้ขายอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้หรือวันที่ส่งมอบสินค้าแล้วแต่กรณี ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม B2B ตัวแทนจำหน่าย และคู่ค้าระยะยาว
จุดเด่นของเครดิต 30 วัน
- ช่วยให้ผู้ซื้อมีเวลาในการบริหารกระแสเงินสด
- สร้างแรงจูงใจในการสั่งซื้อจำนวนมาก
- เป็นมาตรฐานที่สร้างความน่าเชื่อถือในระบบซื้อขาย B2B
สิ่งที่ต้องระวังในการให้เครดิต 30 วัน
- มีความเสี่ยงหนี้เสีย หากลูกค้าขาดสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระ
- ผู้ขายต้องมีระบบติดตามลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
- ส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ หากไม่ได้วางแผนบริหารอย่างรัดกุม

เงื่อนไขการให้เครดิตลูกค้า ควรพิจารณาอะไรบ้าง?
การให้เครดิตลูกค้าดูเผิน ๆ อาจเหมือนการเพิ่มความเสี่ยงให้ธุรกิจ แต่ถ้ามีการจัดการที่ดี Credit term นี้ก็จะกลายเป็นเครื่องมือชั้นยอดที่ช่วยเพิ่มยอดขาย สร้างความภักดี และเป็นแต้มต่อในการแข่งขัน
การให้เครดิตลูกค้าจึงต้องมีการวางแผนบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างมีระบบ เพราะหากให้เครดิตผิดคน ผิดวิธี อาจทำให้กระแสเงินสดสะดุด และกลายเป็นหนี้เสียได้ ดังนั้น ก่อนจะกำหนดเครดิตเทอมให้กับลูกค้าแต่ละราย มีปัจจัยที่ต้องพิจารณา ดังนี้
สภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจเรา
ก่อนจะให้เครดิตใคร ต้องดูสภาพคล่องของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะการให้เครดิตหมายถึงการที่เราต้องแบกรับภาระเงินจมไปชั่วคราว หากเงินในมือเราไม่พอหมุน อาจจะทำให้ธุรกิจติดขัดได้
- กระแสเงินสดเข้า-ออก: วางแผนกระแสเงินสดให้ดีว่าจะมีเงินพอใช้จ่ายในแต่ละเดือนหรือไม่ หากมีลูกหนี้เยอะเกินไป จะกระทบสภาพคล่องไหม
- วงเงินสินเชื่อของธุรกิจ: หากจำเป็นต้องกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ควรมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอและดอกเบี้ยไม่สูงเกินไป
- เป้าหมายการเติบโต: การให้เครดิตอาจช่วยให้เราได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่กระทบความสามารถในการดำเนินงานระยะสั้น
ความน่าเชื่อถือของลูกค้า
ประเมินว่าลูกค้ามีศักยภาพในการชำระหนี้คืนมากแค่ไหน เพราะการให้เครดิตลูกค้าก็เหมือนเราจะปล่อยกู้ให้ใครสักคน ก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถในการคืนเงินไหมหรือไม่ โดยอาจสังเกตจาก
- ประวัติการชำระเงินเดิม: ลูกค้าเคยซื้อขายกับเรามาก่อนไหม จ่ายตรงเวลาสม่ำเสมอหรือเปล่า
- สถานะทางการเงิน: ลูกค้าเป็นใคร บริษัทใหญ่โตแค่ไหน และมีงบการเงินเป็นอย่างไรมีหนี้สินเยอะไหม โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจากแหล่งต่าง ๆ หรือขอเอกสารทางการเงินเพื่อประกอบการพิจารณา
- ข้อมูลจากแหล่งภายนอก: ลองเช็กข้อมูลจากเครดิตบูโร สำหรับบุคคลธรรมดา หรือแหล่งข้อมูลเครดิตทางการค้าอื่น ๆ สำหรับนิติบุคคล เพื่อดูประวัติการชำระหนี้กับคู่ค้าอื่น ๆ
- ชื่อเสียงในตลาด: ลูกค้ามีชื่อเสียงดีไหม เคยมีข่าวเสียหายเรื่องการเงินหรือเปล่า
- ความมั่นคงทางการเงินของลูกค้า:เช็กว่าลูกค้าเป็นบริษัทนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา มีทุนจดทะเบียนหรือรายได้ประจำหรือไม่ หรือเคยมีประวัติค้างชำระกับบริษัทอื่นหรือธนาคารหรือไม่?
ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ความสัมพันธ์ที่เรามีกับลูกค้าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ และโอกาสในการสร้างธุรกิจระยะยาว
- ลูกค้าใหม่: ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อาจเริ่มต้นด้วยการให้เครดิตเทอมที่สั้นลง หรือกำหนดวงเงินเครดิตที่ต่ำกว่า เพื่อทดสอบพฤติกรรมการชำระเงินและความน่าเชื่อถือ
- ลูกค้าเก่าและลูกค้าประจำ: หากเป็นลูกค้าที่เคยร่วมงานกันมาก่อนและมีประวัติการชำระเงินที่ดีเยี่ยม เราอาจพิจารณาให้เครดิตเทอมที่ยืดหยุ่นขึ้น หรือเพิ่มวงเงินเครดิตให้สูงขึ้นได้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีและตอบแทนความภักดีของลูกค้า
- ศักยภาพในการเป็นลูกค้าประจำ: พิจารณาว่าลูกค้าคนนี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำของเราหรือไม่ เป็นการสร้างความผูกพันและส่งเสริมให้เกิดการซื้อซ้ำ เพื่อที่เราอาจให้เงื่อนไขเครดิตที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งมีผลต่อรายได้ที่มั่นคงของธุรกิจนั่นเอง
นโยบายเครดิตของธุรกิจ
ธุรกิจต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการให้เครดิต เพื่อยึดถือเป็นแนวทางให้การตัดสินใจเป็นไปในทิศทางเดียวกันและลดการใช้ดุลยพินิจส่วนตัว เช่น
- กำหนดวงเงินเครดิตสูงสุด: ลูกค้าแต่ละรายจะได้รับวงเงินเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ
- กำหนด Credit Term มาตรฐาน: เช่น Net 30, Net 60 หรือ 2/10 Net 30 เพื่อให้ทีมขายนำไปใช้ได้เลย
- ขั้นตอนการอนุมัติเครดิต: กำหนดให้ชัดเจนว่าใครมีอำนาจอนุมัติ ต้องผ่านกี่ขั้นตอน และมีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องใช้
- มาตรการกรณีลูกค้าผิดนัดชำระ: วางขั้นตอนการทวงถาม การคิดดอก รวมไปถึงวางนโยบายในกรณีที่ถึงที่สุดแล้วจะดำเนินการอย่างไร
มูลค่าการซื้อขาย
สินค้าหรือบริการบางอย่างมีความเสี่ยงสูงกว่าอย่างอื่น ซึ่งอาจส่งผลต่อเงื่อนไขเครดิตที่เราจะให้ เช่น
- มูลค่าสูง: สินค้าที่มีราคาสูงมาก อาจต้องพิจารณาเครดิตเทอมที่สั้นลง หรือเรียกเก็บเงินมัดจำงวดแรกที่มากขึ้น
- สินค้าเน่าเสียง่าย/มีอายุสั้น: หากเป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพเร็ว อาจไม่เหมาะกับการให้เครดิตเทอมที่ยาวนาน
- บริการที่ใช้เวลานาน: โปรเจกต์บริการขนาดใหญ่ ควรใช้เครดิตเทอมแบบแบ่งชำระเป็นงวดตามความคืบหน้า เพื่อลดความเสี่ยง
กลยุทธ์การแข่งขันและสภาพตลาด
บางครั้งเงื่อนไขการให้เครดิตก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด หรือถูกกำหนดโดยสภาพการแข่งขันในตลาด เช่น
- การให้เครดิตของคู่แข่ง: หากคู่แข่งให้ Net 60 แต่เราให้แค่ Net 30 ลูกค้าอาจจะไปหาคู่แข่งได้
- แนวโน้มตลาด: สังเกตแนวโน้มเศรษฐกิจช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไร หากเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับสภาพคล่องที่ไม่ดีนัก การให้เครดิตที่ยืดหยุ่นอาจช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
- เป้าหมายการตลาด: ปรับตามเป้าหมายว่าต้องการขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็วหรือเน้นความมั่นคง เพราะกลยุทธ์ที่ต่างกันอาจนำไปสู่เงื่อนไขเครดิตที่ต่างกัน

จัดการเครดิตเทอมอย่างมืออาชีพ ด้วยระบบออกใบเสนอราคา จาก SellStory
Credit Term หรือ เครดิตเทอม คือ หนึ่งในหัวใจของการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าและกระแสเงินสดของธุรกิจ Credit Term จึงไม่ใช่แค่การให้เวลาลูกค้า แต่ยังต้องมีการกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสม บันทึกอย่างเป็นระบบ และติดตามอย่างแม่นยำ
แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณไม่ต้องใช้ Excel หรือจดในสมุด เสี่ยงไปกับการจัดการเครดิตเทอมที่อาจพลาดง่าย เสี่ยงต่อหนี้เสียและยอดชำระค้างอีกต่อไป เพราะระบบ CRM & Sales Management จาก SellStory ช่วยให้คุณจัดการเครดิตเทอมได้อย่างครบเครื่อง ตั้งแต่การออกใบเสนอราคาที่กำหนดเงื่อนไขชัดเจน ไปจนถึงการติดตามสถานะการชำระเงินได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบ ทำให้ทีมขายทำงานง่ายขึ้น จัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ พร้อมก้าวไปอีกขั้นอย่างมือโปร
ลงทะเบียน สมัครใช้งานฟรี หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 095-371-7988