Sales Trends 2026 มีอะไรบ้าง สรุปสิ่งที่น่าสนใจ พร้อมแนวทางเพิ่มยอดขาย

Sales Trends 2026 มีอะไรบ้าง สรุปสิ่งที่น่าสนใจ พร้อมคำแนะนำ

sales trends 2026 มีอะไรบ้างที่ฝ่ายขายต้องรู้
ทุกปี โลกธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเทรนด์การขายใหม่ ๆ มักเป็นตัวกำหนดทิศทางของยอดขายได้ทันที “Sales Trends” จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตา และโฟกัสอย่างยิ่ง เพื่ออัปเดตกลยุทธ์ให้ตรงจุด และไม่พลาดโอกาสสร้างยอดขายพร้อมผลกำไรตามเป้า

บทความนี้ SellStory จะมาอัปเดต Sales Trends 2026 ให้ได้ทราบกันว่ามีเทรนด์การขายอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และสิ่งไหนบ้างที่ฝ่ายขายต้องโฟกัสมากเป็นพิเศษ

เลือกอ่านจากสารบัญ

Sales Trends สำคัญกับธุรกิจอย่างไร?

Sales Trends คือเทรนด์การขายที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัว วางแผน และสร้างสรรค์โอกาสใหม่ ๆเพื่อเพิ่มยอดขายพร้อมยกระดับการบริการให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากขึ้น แม้เทรนด์การขายในแต่ละปีอาจมีความแตกต่างกันไม่มากนัก แต่การรู้และปรับตัวตามเทรนด์ใหม่ก่อนก็มีโอกาสปิดการขายได้มากกว่าคู่แข่ง

ประโยชน์ของการติดตาม Sales Trends

  • เพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง:เมื่อรู้เทรนด์ก็ช่วยให้ทีมขายวิเคราะห์แนวโน้มและคาดการณ์Sales Forecastได้แม่นยำขึ้น
  • สร้างความได้เปรียบ:หากติดตามและปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์เทรนด์การขายได้เร็ว ก็มีโอกาสนำหน้าคู่แข่งได้
  • ปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัย:เทรนด์การขายยุคใหม่จะเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน แต่ช่วยให้โฟกัสกับการขายได้มากขึ้น
  • รองรับลูกค้าใหม่: เมื่อปรับธุรกิจให้รองรับ Sales Trends ตามยุคสมัย โอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ก็มีมากขึ้นด้วย
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: หากเข้าใจเทรนด์การขายที่ลูกค้าต้องการ จะช่วยให้ทีมขายเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นผลดีต่อการสร้าง Customer Loyalty

สรุปได้ว่า การติดตามเทรนด์การขายที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรและทีมขาย ต้องโฟกัสให้ลึก และรีบนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบของธุรกิจ

อ่านบทความที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ 12 วิธีเพิ่มยอดขาย ด้วยกลยุทธ์การตลาดง่าย ๆ ให้ยอดขายโตขึ้น

อัปเดต sales trends 2026

9 Sales trends เทรนด์การขายที่น่าจับตามอง ปี 2026

เราได้วิเคราะห์ รวบรวม Trends การขายในปี 2026 มาให้ ดังนี้

1. AI เครื่องมือช่วยยกระดับการทำงานให้ทีมขายแบบรอบด้าน

Sales Trends ที่จะเกิดขึ้นในปี 2026 อย่างแน่นอน คือการใช้ AI เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการงานขาย เช่น AI ช่วยวิเคราะห์โอกาสลูกค้า ระบบ Chat Commerce ที่ใช้ AI ช่วยแนะนำสินค้าแบบอัตโนมัติ หรือ AI ช่วยสร้างเทมเพลตเอกสารแบบอัตโนมัติ

โดยข้อมูลสถิติจาก Sales Odyssey ระบุว่า กว่า 40% ของงานขายทั่วไปสามารถทำอัตโนมัติได้ ซึ่งช่วยลดเวลาการทำงานที่ซ้ำซ้อน และช่วยให้ทีมขายมีเวลาไปโฟกัสกับการปิดดีลได้มากขึ้น

ตัวอย่างเทรนด์:นำ AI มาใช้ในงานซ้ำซ้อน เช่น วิธีสร้างใบเสนอราคา การจัดลำดับ Leads บน Pipeline การตอบคำถามที่พบบ่อยด้วยระบบอัตโนมัติ และวิเคราะห์ Feedback ด้วย AI

2. Hyper Personalization เน้นการขายแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น

เทรนด์การขายในปี 2026 ข้อมูลลูกค้าจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรม เช่น สินค้าที่ลูกค้าดูบ่อย ความสนใจ ประวัติการติดต่อ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสนอสินค้าที่ตรงจุดที่สุด

ธุรกิจยุคใหม่จะต้องนำ Customer Journey + AI +Data Analytics เข้ามาใช้ประกอบการขาย เพื่อทำให้ลูกค้าแต่ละรายได้รับข้อเสนอที่ตรงใจที่สุด พร้อมทั้งสร้างความรู้สึกประทับใจให้อยากกลับมาซื้อซ้ำได้

ตัวอย่างเทรนด์: การใช้ระบบ CRM ที่มีระบบจัดเก็บประวัติลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งการแสดงความต้องการ ข้อมูลการซื้อ และพฤติกรรมการใช้งาน เพื่อใช้วิเคราะห์และเสนอสินค้าได้แม่นยำขึ้น

จัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้ครบทุกมิติ ไม่พลาดทุกการติดต่อ ขอแนะนำ SellStory ระบบ CRM & Sales Managementที่มาพร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ปรับแต่งได้ง่าย และแยกประเภทลูกค้าได้ตามใจ ช่วยให้ทีมขายปิดดีลได้แม่นยำและตอบโจทย์ลูกค้า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ แพ็กเกจและราคา

3. Omnichannel Sales การขายหลายช่องทางต้องลื่นไหลและต่อเนื่อง

แม้ว่าหลายธุรกิจจะมีช่องทางการสั่งซื้อจากหลายแพลตฟอร์มอยู่แล้ว แต่ก็อาจตกม้าตายเพราะการให้บริการที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2026 เทรนด์การขายจากหลายแพลตฟอร์มจะต้องลื่นไหล ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด ด้วยการทำ ระบบ Chat Center ลูกค้าต้องสามารถซื้อสินค้าได้จากหลายช่องทางโดยได้รับมาตรฐานเดียวกัน เพราะส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ซื้อโดยตรง

เทรนด์นี้สอดคล้องกับข้อมูลสถิติของ Sales Odyssey ที่บอกว่ากว่า 73% ของลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าจากทุกช่องทาง และต้องเชื่อมต่อกับผู้ขายได้รวดเร็วในทุกแพลตฟอร์ม

ตัวอย่างเทรนด์: รวมช่องทางการขาย ข้อมูลสินค้า และช่องทางแชท เข้ากับระบบ CRMเพื่อให้ทีมขายเห็นข้อมูลเดียวกันได้บนแพลตฟอร์มเดียว ลดการตอบช้าและนำเสนอสินค้าได้รวดเร็วโดยมาตรฐานการให้บริการเดียวกัน

เทรนด์การขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2026

4. Data-Driven Sales การขายต้องอิงข้อมูลมากกว่าความรู้สึก

การตัดสินใจจากสัญชาตญาณของเซลล์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะ Sales Trends ปี 2026 นี้ ต้องมีข้อมูลเชิงลึก (Big Data) ประกอบการขาย เช่น Conversion Rate, Average Lead Time และ Customer Scoreข้อมูลเหล่านี้ต้องนำไปวิเคราะห์ให้มากขึ้น เพื่อวางแผนและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับลูกค้าได้มากที่สุด

จากข้อมูลของ Sales Odyssey พบว่า ทีมขายที่ใช้ข้อมูลจากหลายด้านมาประกอบการตัดสินใจ มีโอกาสปิดยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 20-30%

ตัวอย่างเทรนด์: ใช้ Sales Dashboardที่แสดงยอดขาย เพื่อดูภาพรวมการทำงานของทีมขายและประวัติการซื้อของลูกค้า จะช่วยให้เห็นข้อมูลครบทุกมิติ พร้อมนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติมต่อได้ทันที

5. Subscription Model ที่ให้อิสระผู้ใช้งานมากขึ้น

เทรนด์การขายในปี 2026 หลายธุรกิจจะเริ่มใช้โมเดลราคาแบบ Subscriptionที่ให้อิสระกับผู้ใช้งานในการเลือกแผนที่เหมาะกับความต้องการและปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่นตามงบประมาณ ซึ่งธุรกิจแบบ Subscription Model มีจุดเด่นอยู่ที่การขายระยะยาวและต่อเนื่องเพราะมันไม่ใช่การซื้อขายเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่ฝ่ายขายยังคงต้องให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายลูกค้าเดิม พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าใหม่ไปด้วย

ตัวอย่างเทรนด์:การใช้ระบบ CRM ในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อติดตามผลทั้งก่อนและหลังซื้อ การติดตามประวัติการสั่งซื้อของลูกค้าสำหรับ Up Selling และระบบ CRM ยังช่วยให้โฟกัสทั้งการให้บริการและหาลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นด้วย

6. Social Proof & Customer Reviews สำคัญกว่าการโฆษณา

เทรนด์การซื้อสินค้าในปี 2026 ลูกค้าจะเริ่มให้ความสำคัญกับคำแนะนำจากลูกค้า หรือรีวิวจากผู้ใช้งานด้วยกันสัดส่วนมากกว่าการโฆษณาจากทางแบรนด์ เทรนด์การขายจึงหันมาโฟกัสเกี่ยวกับCustomer Feedback เช่น การรีวิว Testimonial คำแนะนำ และผลลัพธ์จริงของลูกค้ากันมากขึ้น ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า

โดยข้อมูลสถิติจาก Sales Odyssey ระบุว่าผู้ซื้อกว่า 90% อ่านรีวิวก่อนตัดสินใจ ซึ่งมีมากกว่า 70% ที่เชื่อรีวิวและคำแนะนำของผู้ใช้จริงบนโซเชียลมีเดียมากกว่าคำโฆษณา

ตัวอย่างเทรนด์:ใช้เครื่องมือที่ช่วยเก็บรีวิวหรือคำชมจากลูกค้าจริง และนำเสนอผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของแบรนด์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการขาย

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://www.salesodyssey.fr/en/sales-statistics

อัปเดตเทรนด์การขายปี 2026 สิ่งที่ฝ่ายขายต้องโฟกัสมากขึ้น

7. Outcome-Based Selling ลูกค้าซื้อจากผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์

ลูกค้าในปี 2026 ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าการนำเสนอเพียงฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว ทีมขายต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าเวลานำเสนอขาย เช่น ช่วยเพิ่มยอดขายกี่เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนได้เท่าไร หรือรับประกันโครงสร้าง 10 ปี อย่างไรก็ตามฟีเจอร์จะยังมีความสำคัญอยู่ แต่ก็ต้องมีผลลัพธ์ที่น่าสนใจจริงมายืนยันประโยชน์ของการใช้ฟีเจอร์นั้น ๆ ด้วย

ตัวอย่างเทรนด์:สร้าง Case Study และตัวเลข Before–After เพื่อให้ลูกค้าเห็นคุณค่าชัดเจน แล้วนำเสนอด้วยผลลัพธ์ อาจเพิ่มเติมได้ด้วยรีวิวจากผู้ใช้งานจริงเพื่อความน่าเชื่อถือ

8. Sales and Marketing Alignment ทีมขายและทีมการตลาดต้องทำงานใกล้ชิดกัน

การแข่งขันในปี 2025 ว่าหนักแล้ว แต่ Sales Trends ในปี 2026 ต้องแข่งขันกันมากขึ้น เพราะยิ่งเป็นยุคของการสร้างคอนเทนต์ การปิดดีลผ่านไลฟ์ การสร้างยอดขายจากคะแนนรีวิว หรือการเสนอขายสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานระหว่างทีมขายและฝ่ายการตลาด

ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพในงานขาย ทุกฝ่ายต้องมีข้อมูลชุดเดียวกัน เพราะช่วยลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลและเพิ่มความแม่นยำในการออกแคมเปญการขายได้มากขึ้น

ตัวอย่างเทรนด์: ใช้ระบบ CRM ร่วมกับ Marketing Tools เพื่อติดตามลูกค้าและนำมาพัฒนากลยุทธ์เพื่อให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด หรือการพัฒนาความรู้ด้านการตลาดให้เซลล์ก็เป็นอีกทักษะการขายที่จะช่วยให้ปิดการขายในปี 2026 ได้ง่ายขึ้น

อ่านบทความที่น่าสนใจ: 12 ทักษะการขายสำหรับ Sales Team ยุคใหม่ให้ปิดการขายได้อย่างมือโปร

9. Mobile-First Sales ทีมขายต้องทำงานได้ทุกที่

ในปี 2026 ทุกการขายจะต้องทำผ่านมือถือได้ เพราะยุคที่ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ระบบออนไลน์ ทีมขายต้องสามารถปิดการขายได้จากทุกที่ ทุกเวลาและไม่ใช่แค่การปิดดีล แต่ในทุกขั้นตอนจะต้องทำได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการทำใบเสนอราคา การติดตามลูกค้า หรือการอัปเดต Task การทำงาน

จากผลสำรวจพบว่าฝ่ายขายภาคสนามกว่า 60% ต้องการระบบ CRM ที่รองรับใช้งานบนมือถือได้สมบูรณ์แบบ เพราะช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเทรนด์:ใช้ระบบ CRM & Sales Management ที่รองรับการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมการใช้งานได้ครบทุกฟีเจอร์ สามารถเลือกดูข้อมูลลูกค้า ออกใบเสนอราคา ติดตามงานบน Job Board ทั้งหมดสามารถทำงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที

สร้างยอดขายได้แบบไม่ตกเทรนด์การขาย ด้วย ระบบ crm จาก sellstory

สรุป Sales Trends แต่ละปี เป็นสิ่งสำคัญที่องค์กร ฝ่ายขายต้อง ‘อัปเดต’ อยู่ตลอดเวลา

สรุปได้ว่า Sales Trends 2026ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าการทำงานของฝ่ายขายกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการทำงานร่วมกับ AI การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ การออกแบบแคมเปญเฉพาะบุคคล และความสำคัญของประสบการณ์ลูกค้า ธุรกิจที่ปรับตัวก่อนจะมีความได้เปรียบสูง และสามารถสร้างยอดขายที่เติบโตได้อย่างมั่นคง

เพื่อไม่ให้คุณพลาดโอกาสสำคัญตามเทรนด์การขาย ต้องมีเครื่องมือช่วยขายอย่าง SellStory ระบบ CRM & Sales Management ที่มาพร้อมฟีเจอร์เด่นสำหรับงานขายมากมาย ทั้งระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ระบบออกเอกสารสำคัญในงานขาย ระบบ Job Card ช่วยบริหารจัดการในทีมขาย และอีกมากมาย ที่คุณสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน Desktopและ Mobile Application

สมัครใช้งานฟรี! หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 095-371-7988 และ Line :@SellStory

อ้างอิงข้อมูลสถิติจาก : salesodyssey.fr

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sales Trends 2026

1. Sales Trends 2026 มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ?

เทรนด์การขายในปี 2026 สิ่งที่น่าจับตามอง และมีความโดดเด่นได้แก่ การทำ AI มาร่วมทำงานกับการขาย และทำระบบ CRM ให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าให้ครบคลุมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

  • AI Automation
  • Omnichannel
  • Data-Driven Sales ที่เน้นประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่มากขึ้น

2. ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำเทรนด์เหล่านี้ไปใช้ได้หรือไม่?

สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะเครื่องมืออย่างระบบ CRM ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ หรือการติดตามรีวิว ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะบนโซเชียลมีเดีย เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนในการขาย

3. SellStory รองรับเทรนด์การขายในปี 2026 อย่างไร?

SellStory รองรับการขายได้หลายช่องทาง ใช้งานได้บนมือถือ มีระบบติดตาม Pipeline ใบเสนอราคา รายงานแบบเรียลไทม์ และ Workflow ที่ช่วยให้ทีมขายทำงานได้เร็วขึ้นและปิดดีลได้อย่างต่อเนื่อง

บทความที่น่าสนใจจาก SellStory CRM

อ่านบทความ อัปเดตเทรนด์และเกร็ดความรู้ดี ๆ สำหรับงานขาย

email marketing คืออะไร แนะนำเทคนิคเพิ่มยอดขาย

Email Marketing คืออะไร? พร้อมตัวอย่างเทคนิคช่วยเพิ่มยอดขาย

ท่ามกลางแพลตฟอร์มมากมายที่เข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดดิจิทัล การทำการตลาดออนไลน์ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องมือการตลาดอย่างการทำ Email Marketing ที่สามารถช่วยกระตุ้นการขาย เพิ่มการรับรู้ เพราะความหลากหลายในการใช้งาน เช่น การส่งโปรโมชั่น ข้อมูลสินค้าใหม่ และข่าวสารใหม่ เพื่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่ม ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายให้มากขึ้น

สำหรับบทความนี้ SellStory จะมาแชร์ความรู้เกี่ยวกับการทำ Email Marketing พร้อมแนะนำเทคนิคเพิ่มยอดขายที่ได้ผลลัพธ์จริง เพื่อแคมเปญการตลาดที่ได้ประสิทธิภาพของคุณ
12 วิธีเพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม

12 วิธีเพิ่มยอดขายให้โตขึ้นแบบง่าย ๆ ด้วยกลยุทธ์การตลาด

ปัจจุบันในโลกของธุรกิจมีการแข่งขันในการขายที่สูงมาก แต่จะทำอย่างไร เมื่อยอดขายทรงตัว ทำไมยอดขายไม่เพิ่ม และถ้าต้องการเพิ่มยอดขาย ควรเริ่มจากตรงไหน? เพื่อสร้างรายได้ กำไรให้กับองค์กรเรา

ในการทำธุรกิจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเพิ่มยอดขายให้เห็นผลจริง จำเป็นต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ที่ดี โดยเฉพาะกลยุทธ์การขายที่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด การแข่งขันในอุตสาหกรรม เป้าหมายของธุรกิจ และสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจ

ในบทความนี้ SellStory จะมาแนะนำ 12 วิธีการเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ ด้วยเทคนิคการตลาดที่น่าสนใจ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับทีมขายทุกคน
การนำระบบ crm มาใช้เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการลูกค้า

12 ประโยชน์ของระบบ CRM ยกระดับการบริการลูกค้า ช่วยพัฒนาองค์กร

ท่ามกลางธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในทุก ๆ อุตสาหกรรม การมีสินค้าหรือบริการที่เต็มไปด้วยคุณภาพเหนือคู่แข่งอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะลูกค้าในยุคนี้ มองหาบริการที่เอาใจใส่ และมอบความรู้สึกที่ “พิเศษ” สำหรับการสร้างประสบการณ์ที่ดี การนำระบบ CRM (Customer Relationship Management) มาใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการลูกค้า ทั้งการขาย การวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบยอดขาย และทำความเข้าใจลูกค้า จะช่วยพัฒนาองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อไขข้อสงสัยว่าระบบ CRM มีประโยชน์อย่างไร? บทความนี้ SellStory จะพาคุณมาเจาะลึกถึง 12 ประโยชน์ของระบบ CRM ที่จะช่วยยกระดับการบริการลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด เพื่อกลยุทธ์ในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน