Sales Kit คืออะไร?
Sales Kit คือ ชุดเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนและใช้ประกอบการขาย เพื่อให้ Sales Team สามารถนำเสนอสินค้า บริการ และข้อมูลที่สำคัญสำหรับการขายให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม ตรงประเด็น มีประสิทธิภาพ เพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างโอกาสปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น อาจสรุปได้ว่า Sales Kit นั้นคือส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับงานขายที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เข้าใจแบรนด์ สินค้าและบริการมากขึ้น โดยผ่านการนำเสนอของ Sales Team ในรูปแบบต่าง ๆ
ทำไมฝ่ายขายควรมี Sales Kit?
หลายครั้งที่เราเห็นว่าฝ่ายขายนำเสนอขายสินค้าหรือบริการผ่านชุดข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือข้อมูลที่หาได้ในขณะนั้น ซึ่งนั่นอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า และยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเข้าใจที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ โดยข้อดีที่ฝ่ายขายจะได้เมื่อมี Sales Kit คือ
- สื่อสารได้อย่างมีคุณภาพ ชัดเจนและสม่ำเสมอ
- ลดเวลาการเตรียมข้อมูลก่อนพบลูกค้า
- เพิ่มความมั่นใจในการนำเสนอ โดยเฉพาะกับฝ่ายขายมือใหม่
- ปิดการขายได้ง่ายขึ้นด้วยข้อมูลและสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ
องค์ประกอบสำคัญของ Sales Kit ที่ดี
Sales Kit ที่ดีไม่ใช่แค่การเตรียมสไลด์ หรือเอกสารนำเสนอที่ดีเท่านั้น แต่ควรประกอบด้วยองค์ประกอบหลากหลาย เพื่อช่วยให้ฝ่ายขายสามารถตอบคำถามลูกค้าได้ทันที และช่วยให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ รวมถึงการเข้าใจสินค้าและบริการมากขึ้น โดยองค์ประกอบสำคัญของ Sales Kit ที่ดีคือ
1. Company Profile
องค์ประกอบส่วนนี้จะเน้นการแนะนำภาพรวมบริษัท ความน่าเชื่อถือ และประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ลูกค้าได้ทำความรู้จักองค์กร และยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
2. Product Brochure
ส่วนที่จะบอกถึงรายละเอียดสินค้าหรือบริการ โดยเป็นภาพรวมที่ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นทั้งจุดเด่น ความแตกต่าง พร้อมทั้งบอกราคาค่าใช้จ่ายเพื่อให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
3. Case Studies
Sales Kit ที่ดีควรมีตัวอย่างผลลัพธ์จากลูกค้าจริงที่เคยใช้สินค้ามาแล้ว รวมถึงรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาและยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการได้อีกด้วย
4. FAQ ช่วยตอบข้อสงสัย
เพื่อลดระยะเวลาในการนำเสนอสินค้าหรือบริการ รวมถึงช่วยคลายความสงสัยเกี่ยวกับคำถามที่พบบ่อย ควรมีการทำ FAQ เอาไว้ด้วย เช่น มีการรับประกันหรือไม่ ระยะเวลาและเงื่อนไขในการรับประกันเป็นอย่างไร การจัดส่งสินค้าด้วยวิธีไหน และมีบริการหลังการขายหรือไม่
5. สรุปโปรโมชั่นหรือแคมเปญล่าสุด
การทำโปรโมชั่น ส่วนลด หรือแคมเปญล่าสุด เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงเวลานั้น และยังเป็นการสร้างโอกาสปิดการขายให้มีมากขึ้นด้วย
6. Presentation Template
ควรมีการทำสไลด์นำเสนอที่มีดีไซน์เป็นมืออาชีพ มีองค์ประกอบที่ครบถ้วน และพร้อมใช้งานได้ทันที โดยเทมเพลตที่มีความเป็นมืออาชีพจะช่วยให้ Sales Team มีความเป็นมืออาชีพและดูเชี่ยวชาญมากขึ้นในมุมมองของลูกค้าด้วย
7. การจัดการเอกสารที่รวดเร็ว
หลายครั้งที่การนำเสนอของฝ่ายขายจบลงด้วยการปิดการขาย หรือการขอเอกสารใบเสนอราคาทันที ดังนั้น Sales Kit ที่ดีสำหรับฝ่ายขายจึงต้องสามารถออกเอกสารใบเสนอราคาได้รวดเร็ว เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมขายของคุณวันนี้! ด้วยระบบ CRM จาก SellStoryตรวจสอบแพ็กเกจที่นี่
ตัวอย่าง Sale Kit ที่นำไปใช้ในธุรกิจได้จริง
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น นี่คือตัวอย่างการใช้ Sales Kit จากธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขาย
1. ธุรกิจซอฟต์แวร์
ออกแบบ Sales Kit ที่มี Company Profile ชัดเจน ทั้งบริการและแผนราคาที่เทียบให้เห็นความคุ้มค่า มีการ Demo มีคู่มือเบื้องต้น และเพิ่มความเชื่อมั่นด้วย Case Study จากลูกค้าองค์กร
2. ธุรกิจเครื่องจักรอุตสาหกรรม
สำหรับ Sales Kit ที่ใช้กับธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องจักรอุตสาหกรรม ควรมี Catalog สินค้าที่บอกสเปกชัดเจน มีเอกสารรับรองมาตรฐาน พร้อมใบเสนอราคาที่มีรายละเอียดต้นทุน บริการติดตั้ง การรับประกัน และบริการหลังการขาย
3. ธุรกิจบริการจัดอบรมและสัมมนา
นอกจากมี Company Profile ที่ชัดเจนแล้ว ควรมีการแนะนำผลงานที่ผ่านมาผ่านสไลด์ ประวัติของวิทยากร เอกสารรับรองหลังการอบรม รีวิวจากองค์กรหรือกลุ่มธุรกิจที่เคยผ่านการอบรม และเอกสารใบจองสำหรับการจัดอบรมคอร์สหรือหลักสูตรต่าง ๆ
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการออกแบบ Sales Kit ให้ดูมืออาชีพ ที่ไม่เพียงแค่สร้างความน่าสนใจในตัวสินค้าเท่านั้น แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่จริงจัง และพร้อมดูแลลูกค้าอย่างเต็มที่
การใช้ Sales Kit ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งที่จะทำให้ Sales Kit ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การวางแผน ความต่อเนื่อง และการนำไปใช้งานอย่างเหมาะสม โดยการใช้ Sales Kit ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสามารถทำได้ ดังนี้
- เตรียม Sales Kit ไว้ล่วงหน้าก่อนการพบลูกค้า และควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด
- เลือกใช้สื่อที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มลูกค้า เช่น ลูกค้า B2B และลูกค้า B2C
- ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับโปรโมชั่นหรือแคมเปญที่จัดอยู่ในปัจจุบัน
- นำมาใช้ร่วมกับระบบCRM เพื่อช่วยให้การจัดการข้อมูลเนื้อหาและลูกค้าได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อ่านบทความที่น่าสนใจ:แนะนำฟีเจอร์ช่วยจัดการข้อมูลสินค้าและบริการแบบมืออาชีพจาก ระบบ CRM SellStory
การใช้ Sales Kit กับระบบ CRM ทำได้อย่างไร?
แม้ว่า Sales Kit นั้นคือเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการขายได้ดี แต่ในบางครั้งเมื่อลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อมูลอาจลดลงได้ระบบ CRM จึงเป็นเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจแบบ B2B การใช้ระบบ CRM จะช่วยให้ฝ่ายขายสามารถจัดการข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า และติดตามการขายได้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยการทำงานร่วมกันของระบบจัดการงานขายและ Sales Kit สามารถทำได้ ดังนี้
1. จัดการข้อมูลลูกค้าพร้อมแบ่งหมวดหมู่
ระบบ CRM ช่วยให้ฝ่ายขายบันทึกข้อมูลของลูกค้าได้อย่างละเอียด และยังสามารถแบ่งหมวดหมู่ลูกค้าตามความสนใจได้ อย่างเช่นระบบ CRM & Sales Management จาก SellStory ที่มีฟีเจอร์จัดเก็บข้อมูลลูกค้าพร้อมปรับแต่งฟอร์มได้เอง และยังเพิ่มโน้ต ติด Hashtag จัดกลุ่มแบ่งประเภทลูกค้า เพื่อให้ค้นหาได้สะดวกรวดเร็ว และนำเสนอสินค้าได้แม่นยำ
2. ติดตามสถานะการขายแบบเรียลไทม์
หลังจากที่ฝ่ายขายได้นำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการผ่าน Sales Kit เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การติดตามผลจากระบบ CRM ช่วยให้ฝ่ายขายมองเห็นภาพรวมของงานขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้การติดตามสถานะการขายเป็นเรื่องง่าย และสามารถแก้ปัญหาคอขวดได้ทันที
3. วางแผนและนัดหมายล่วงหน้า
หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของระบบ CRM คือระบบช่วยจัดการงานขาย อย่างเช่น ระบบ CRM & Sales Management จาก SellStory ที่มีฟีเจอร์ช่วยจัดการงานขายที่ผู้ใช้สามารถสร้างและกำหนดรูปแบบของกระดานงานขาย หรือ Job Board ได้ ทั้งการเลือกดูใบงานของทีมขายแต่ละคน รวมทั้งการกำหนดกิจกรรมและนัดหมายล่วงหน้าผ่าน Job Board ได้ทันที พร้อมระบบแจ้งเตือนที่ช่วยให้ทีมขายไม่พลาดทุกกิจกรรมที่วางแผนไว้
4. วิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์การขาย
หากทีมขายมี Sales Kit ที่ดี ย่อมมีโอกาสที่ลูกค้าจะให้ความสนใจในสินค้าและบริการมากขึ้น แต่ลูกค้าบางรายยังต้องการข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือบริการฟีเจอร์รายงานการขายหรือ Dashboard บนระบบ CRM จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้ทีมขายสามารถนำข้อมูลลูกค้า การพูดคุย และความสนใจของลูกค้าแต่ละรายมาวิเคราะห์เพิ่มเติม พร้อมทั้งปรับปรุงกลยุทธ์ในการขายให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น รวมถึงยังช่วยสร้างโอกาสUpsell ได้อีกด้วย
5. ไม่พลาดโอกาสปิดการขายได้ทันที
หลายครั้งที่การใช้ Sales Kit สร้างโอกาสปิดการขายได้ทันที แต่ทีมขายกลับพลาดเพราะลืมส่งเอกสารใบเสนอราคา หรือส่งล่าช้า ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจจนไม่สามารถปิดการขายได้ตามเป้า แต่สำหรับฝ่ายขายที่ใช้ระบบ SellStory CRM & Sales Management ปัญหาเรื่องการออกเอกสารล่าช้าจะหมดไป ด้วยฟีเจอร์ออกเอกสารงานขาย ที่สามารถสร้างเอกสารงานขายได้ตั้งแต่ ใบเสนอราคา ใบวางบิล และใบกำกับภาษี ช่วยให้ทีมขายไม่พลาดโอกาสปิดการขายที่รวดเร็ว
เพิ่มประสิทธิภาพ Sales Kit ของคุณ ด้วยระบบ CRM & Sales Management จาก SellStory
Sales Kit คือชุดเครื่องมือที่ทุกทีมขายควรมี หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดการขาย ลดความผิดพลาด และทำให้การนำเสนอเป็นมืออาชีพมากขึ้น
โดยการเตรียม Sales Kit ที่ดีควรมีข้อมูลครบถ้วน ทันสมัย ใช้งานง่าย และสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายได้ สำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับความสามารถของฝ่ายขาย ไม่ว่าจะเป็นเซลส์มือใหม่หรือมืออาชีพ การลงทุนในการสร้าง Sales Kit ที่มีคุณภาพ คือก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จในการขายอย่างยั่งยืน
สำหรับท่านที่ต้องการเพิ่มศักยภาพให้กับทีมขายและ Sales Kit ระบบ CRM & Sales Management จากSellStory คืออีกหนึ่งเครื่องมือดี ๆ ที่ช่วยให้ทีมขายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และไม่พลาดโอกาสปิดการขาย ด้วยฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในงานขายที่ครบครัน และการใช้งานที่ปรับแต่งได้ตามการใช้งานจริง ช่วยเปลี่ยนงานขายที่ยุ่งยาก ให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
สามารถลงทะเบียนใช้งานฟรี ได้แล้ววันนี้ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 095-371-7988 และแอดไลน์@sellstory ได้เลย!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sales Kit
เพื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ Sales Kit ต่อไปนี้คือคำถามที่พบบ่อยที่เราได้รวบรวมมาตอบให้เข้าใจได้แบบกระชับ และครบถ้วน